แบบการติดตามประเมินผลการดำเนินกิจกรรมของโครงการ (Process Evaluation)
กิจกรรม | ระยะเวลา | เป้าหมาย/วิธีการ | ผลการดำเนินงาน | ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ตามแผน | ปฏิบัติจริง | ตามแผน | ปฏิบัติจริง | ตามแผน | ปฏิบัติจริง | ||
กิจกรรมประชุมหารึ | 16 ส.ค. 2560 | 16 ส.ค. 2560 |
|
จะลงรายละเอียดอีกครั้ง |
|
จะลงรายละเอียดอีกครั้ง |
|
1.ประชุมคณะทำงาน ครั้งที่1. | 17 ก.ย. 2560 | 17 ก.ย. 2560 |
|
ประชุม เสนอและจะพิจารณา 3.1 การพิจารณา กำหนดวันจัดงานคอตัมอัลกุรอาน มติ กำหนดให้จัดวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 3.2 พิจารณาขอรับเงินอุดหนุนภาคประชาสังคม ตามโครงการขับเคลื่อนการมีส่วน ร่วมของภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนา จชต. งบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 มติเราควรขอรับเงินอุดหนุนภาคประชาสังคมด้วยเพื่อจัดงานนี้ เพราะงานนี้จะสร้าง เยาวชนให้รักการศึกษาสันติภาพ โดยเฉพาะการเรียนอัลกุรอาน และการจัดงานภาคเวทีโดยเชิญผู้รู้มาบรรยายและทำพิธีคอตัมอัลกุรอาน และที่ประชุมได้เห็นชอบให้ตั้งชื่อโครงการว่า (โครงการคอตัมอัลกุรอานสร้างเยาวชนและครอบครัวรักสันติ) และยื่นเสนอของบประมาณดังกล่าว 3.3 พิจารณาการแต่งตั้งคณะทำงาน มติ แต่งตั้งคณะกรรมการดังนี้ 1.นายสะการิยา บาราเฮงประธาน2.นายอัสมีสาหลำ3.นายคอยรุลบุรฮาน บาราเฮง 4.นางสาวรอฮานี เจะสนิ 5.นายดอเลาะบาราเฮง 6.นางมาเรียม บาราเฮง 7. นางสาวรอกีเยาะ มะนอ8นางสาว นาปีเซาะ ดาเร็ง. 9.นางสาว ฮาดีบะ บาราเฮง 10.นางสาวยูมูบิงเลขานุการ |
|
กำหนดให้จัดจัดงาน(โครงการคอตัมอัลกุรอานสร้างเยาวชนและครอบครัวรักสันติ) วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 |
|
ติดต่อประสานงาน | 17 ก.ย. 2560 | 17 ก.ย. 2560 |
|
ไปติดต่อทำสัญญารับเงินอุดหนุน จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ยะลา |
|
ทำสัญญารับเงินอุดหนุนกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ยะลา |
|
กิจกรรมประชุมคณะทำงาน ครั้งที่2 | 20 ก.ย. 2560 | 20 ก.ย. 2560 |
|
|
|
3.1 การพิจารณา สถานที่จัดงาน
มติ ถ้าได้งบกำหนดให้จัดจัดที่ลานหน้าสถาบันปอเนาะบัยตุลอิฮซาน
3.1 นางสาวยู มูบิง |
|
ซื้ออุปกรณ์จัดกิจกรรม และประสานงาน | 20 ก.ย. 2560 | 20 ก.ย. 2560 |
|
|
|
1.ได้ของรางวัลเพื่อจัดกิจกรรม
2. ได้ติดต่อประสานงานกับ อาจารย์ ดังนี้
2.1. อาจารย์ บริพัตร มัสอา ทำกิจกรรมเยาชน |
|
ประชุมครั้งที่ 3 | 22 ก.ย. 2560 | 22 ก.ย. 2560 |
|
ระเบียบวาระที่ 2 เรื่องสืบเนื่อง
จากที่ประชุมครั้งที่แล้วสถาบันฯจะจัดงานคอตัมอัลกุรอานให้นักเรียนในวันที่ 23 กันยายน 2560 เราได้ประชุมแล้ว และขอให้ทุกฝ่ายรายงายความคืบหน้าและความพร้อม
2.1 ฝ่ายเวทีและพิธีการ ประธานได้ประสานผู้ยาย ผู้เปิดพิธี และสับซ้อมนักเรียนที่คอตัมอัลกุรอานแล้ว |
|
ได้รับมติการประชุม
ฝ่ายเวทีและพิธีการ ประธานได้ประสานผู้ยาย ผู้เปิดพิธี และสับซ้อมนักเรียนที่คอตัมอัลกุรอานแล้ว พิจารณาแต่งตั้ง นางสาวคอรีเยาะ วาเล็ง จ้างให้รับเหมาจัดชุดทำงาน รวม10 คน เพื่อจัดการด้านอาหาร ดูแลความเรียบร้อยและปฏิบัติงานในวันจัดกิจกรรม คือวันที่23 กันยายน 2560 |
|
กิจกรรมเตรียมอุปกรณ์เพื่อจัดโครงการ | 22 ก.ย. 2560 | 22 ก.ย. 2560 |
|
ให้กรรมการคนหนึ่งไปซื้อวัสดุอุปกรณ์ |
|
|
|
โครงการคอตัมอัลกุรอานสร้างเยาวชนและครอบครัวรักสันติ | 23 ก.ย. 2560 | 23 ก.ย. 2560 |
|
กำหนดการ
โครงการคอตัมอัลกุรอานสร้างเยาวชนและครอบครัวรักสันติ |
|
ผลได้รับและตัวชี้วัดความสำเร็จ 1 ผลได้รับ 1.1 เยาวชนและครอบครัวรักการศึกษา 1.2 เยาวชนและครอบครัวเข้าใจหลักสันติภาพและขับเคลื่อนวิถีสันติในการดำเนินชีวิต 1.3 เยาวชนมีครอบครัวมีความอบอุ่น คุณภาพชีวิตที่ดีและมั่งคงอย่างยั้งยืน 1.4 เยาวชนและครอบครัวเป็นพลังมาสนับสนุนภาครัฐบาลในการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาคในภูมิภาคชายแดนภาคใต้ 2 ผลที่ได้รับเชิงปริมาณ
ประมาณร้อยละ 85% ของผู้เข้าร่วมโครง สามารถเข้าใจบริบทการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิถี |
|
กิจกรรมที่1 เยาวชนคือบุคคลสำคัญ โดยอาจารย์บริพัตร มัสอา | 23 ก.ย. 2560 | 23 ก.ย. 2560 |
|
กิจกรรมเยาวชนคือบุคคลสำคัญ โดยอาจารย์บริพัตร มัสอา |
|
เรื่องราวที่ใช้บรรยาย ในขณะที่ประชาชาติกำลังขาดแคลนบุคลากรที่ สามารถยกระดับตนเองสู่ความเป็นเลิศและอัจฉริยะในทุกๆด้าน แต่บทความและหนังสือของเราในปัจจุบันนี้กลับให้ความสำคัญกับเรื่องการสอน
เยาวชนของเราให้เลิกฟังเพลง เลิกสูบบุหรี่ ยาเสพติด ภาพยนตร์ ละครและสื่อลามกต่างๆ ซึ่งยังไม่เป็นที่พอเพียงหากเราต้องการยกระดับคุณภาพของเยาวชนมุสลิมสู่ความ เป็นเลิศ
แท้จริงแล้ว เยาวชนหนุ่มสาวของเราควรที่จะหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านั้น ก้าวกระโดดในการเปลี่ยนแปลงตนเอง พร้อมทั้งยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อมนุษยชาติ และความเจริญก้าวหน้าให้กับศาสนาและประชาชาติอิสลามสืบไป
เราต้องการเยาวชนหนุ่มสาวที่มีศักยภาพและความสามารถในการทำงานทั้งทางด้านศาสนาและสังคม
เราต้องการเยาวชนหนุ่มสาว ที่มีคุณภาพและพรสวรรค์แขนงต่างๆ ในการเผยแผ่และทำงานเพื่อศาสนาในทุกๆด้าน ทั้งการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ทหาร และอื่นๆ
เพื่อที่พวกเขาจะได้เผย แผ่ศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา สอนประชาชาติในเรื่องศาสนาและการดำเนินชีวิต รวมทั้งเรียกร้องสิทธิของพี่น้องมุสลิมในทุกสถานที่ ทั่วทุกมุมโลก
เป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่เรายังขาดแคลนเยาวชน ที่มีศักยภาพและความเป็นเลิศในแทบจะทุกๆด้าน จนมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเริ่มต้นค้นหาเยาวชนเหล่านี้ พร้อมทั้งผลักดันสนับสนุนให้พวกเขาแสดงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวออกมา ฉะนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเป็นความพยายามที่จะทำให้การก้าวกระโดดดังกล่าวนั้น ประสบความสำเร็จ ในอันที่จะพัฒนาเยาวชนหนุ่มสาวของเราในประเทศไทย
บทความนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดย คุณอัดนาน ฮารูน นาแซ อันเป็นความพยายามของผู้เขียนและผู้แปลที่จะมีส่วนร่วมและมีบทบาทในการยก ระดับเยาวชนหนุ่มสาวในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดเยาวชนที่ประสบชัยชนะ ที่เราทุกคนได้คาดหวังไว้ต่อประชาชาติอิสลามทั้งมวล
วัลฮัมดุลิลลาฮฺ มวลการสรรเสริญและการขอบคุณเป็นของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงอธิบาลแห่งสากลจักรวาลทั้งมวล
ริฎอ อะหมัด สมะดี
มุฮัรรอม 1427
กุมภาพันธ์ 2549
หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ(หรือออตโตมัน)แล้ว ประเทศคริสต์ที่ได้วางแผนและพยายามล้มระบบคิลาฟะฮฺดังกล่าวทั้งหลาย ประเทศตะวันตกต่างก็คิดว่าศาสนาอิสลามนั้นได้จบสิ้นแล้ว และมุสลิมจะไม่มีวันลุกขึ้นมายืนหยัดได้ต่อไปอีก ซึ่งแท้จริงแล้ว ความพยายามของพวกเขานั้นยาวนานมากกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยเริ่มจากการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสต่อประเทศอียิปต์และจบลงด้วยการประชุม “โลซาน” อันเป็นการประชุมที่ประเทศมหาอำนาจได้บังคับให้ยกเลิกระบบคีลาฟะฮฺซึ่งเป็น ข้อแม้ในการรับรองอิสรภาพของประเทศตุรกี หลังจากที่ตุรกีถูกทำลายล้างโดยสงครามที่ได้ถูกวางแผนมาเพื่อขัดขวางการเป็น มหาอำนาจของตุรกี ประเทศคริสต์ไซออนิสต์เหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ทำลายระบบการเมือง(ซึ่งหมายถึงการไม่มีอำนาจรัฐที่คอยปกป้องผลประโยชน์ของประชาติ อิสลามแล้ว)เท่านั้น แต่ยังได้พยายามทำลายศรัทธาและความเป็นอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมุสลิม ในทั่วทุกมุมโลกที่อยู่ภายใต้ศาสนาอันเดียวกัน กิบลัตและอิบาดะฮฺอันเดียวกัน โดยการสร้างระบบศาสนาใหม่ภายใต้แนวคิดความเจริญและความทันสมัยให้กับมุสลิม (ระบบแบ่งแยกอาณาจักรออกจากศาสนจักรหรือเซอร์คิวล่า) ซึ่งระบบนี้ทำให้มุสลิมคิดว่าพวกเขาได้ยึดมั่นในศาสนาที่ถูกต้องแล้ว จนกระทั่งแนวคิดนี้ได้แบ่งแยกศาสนาออกจากการปกครองและเศรษฐกิจ และจำกัดศาสนาให้เป็นเพียงเรื่องของการทำอิบาดะฮฺ อีกทั้งยังหันเหมุสลิมออกจากการให้ความสำคัญกับด้านอื่นๆของศาสนา เช่น มุอามะลาต(การปฏิบัติซึ่งกันและกัน) จีนายาต(ระบบการการลงโทษ) การเมืองและอื่นๆ หลังจากการล่มสลายด้านการเมืองการปกครอง ตามด้วยการล่มสลายทางด้านความศรัทธา(อะกีดะฮฺ) จรรยามารยาท รวมไปถึงแนวคิดและสังคม ซึ่งเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่า ดังกล่าวนี้เป็นแผนการของกลุ่มมหาอำนาจในการที่จะทำให้สังคมมุสลิมมีแบบแผน ตามอย่างตะวันตกในทุกๆด้าน ไม่เพียงเท่านั้น แต่แผนการดังกล่าวยังได้พยายามเผยแพร่และชักจูงมุสลิมในประเทศอิสลามให้ นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ดังกล่าวเป็นแผนอันสกปรกเลวร้ายคล้ายกับแผนการล่า อาณานิคม ซึ่งสองสิ่งนี้(การเผยแพร่คริสต์และการล่าอาณานิคม)เปรียบเสมือนเป็นสิ่ง เดียวกัน และที่ใกล้เคียงกับแผนในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ดังกล่าวคือ ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ยังมีแผนการด้านวัฒนธรรมในการดึงดูดสมองและแนวคิดของ มุสลิม โดยการเปลี่ยนแปลงแนวคิดให้หันเหไปจากหลักการอันบริสุทธิ์(นั่นคืออัลกุรอ่านและซุนนะฮฺของท่านศาสดา) จนเกิดแนวการศึกษาบูรพาคดี(นั่นคือการศึกษาวัฒนธรรมชาวตะวันออกหรืออิสลาม โดยชาวตะวันตก) ซึ่งได้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยของประเทศอิสลามเป็นอย่างมากทั้งในด้านผู้ ศึกษาเองและการวิจัยต่างๆ นอกจากนี้แนวคิดนี้ยังได้ถูกยกสถานะขึ้นในแวดวงการแนะแนวทางวิชาการในทวีป ต่างๆจนกลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมและอยู่เหนือแนวคิดอิสลามที่ถูกต้อง และด้วยสามสิ่งนี้(การล่าอาณานิคม,การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และแนวคิดบูรพาคดีศึกษา) ทำให้ประเทศอิสลามต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองโดยประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ ทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง ด้านความศรัทธา(อะกีดะฮฺ) และด้านลักษณะแนวคิด แนวคิดกุฟรฺ(การปฎิเสธศรัทธาอัลลอฮฺ)ได้แผ่ขยาย อย่างเชิดหน้าชูตาและเปิดเผย นอกจากนี้ยังใช้การหลอกลวงและกลอุบายต่างๆ ไปทั่วทุกมุมโลก โดยใช้อำนาจบารมีอันเป็นที่เกรงกลัวของมุสลิมทั่วโลก หรือแม้แต่ใช้บุคคลสำคัญของสังคมมุสลิมในการหลอกล่อมุสลิมว่าผู้ที่ดำเนิน การหลอกลวงและวางกลอุบายต่างๆนั้นแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของผู้นำมุสลิมเอง เพื่อที่จะทำให้การต่อต้านนั้นเบาบางลง และทำให้แผนการของพวกเขาดำเนินไปได้โดยปราศจากการขัดขวางหรือการเผชิญหน้า ใดๆจากพวกมุสลิมเอง เมื่อใดที่ประชาชาติได้พยายามลุกขึ้นต่อสู้เพื่อ ที่จะต่อต้านการล่าอาณานิคมอัน อันเป็นสาเหตุของความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความตกต่ำทางสังคมและการการเมืองนั้น ประเทศ ล่าอาณานิคมเหล่านี้ก็สามารถที่จะควบคุมและหยุดยั้งการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ จนทำให้ไม่มีการลุกฮือใดๆเกิดขึ้นเว้นแต่จะถูกสยบหรือถูกทำลายภายใต้การกดดันของมหาอำนาจดังกล่าว จนทำให้ประเทศอิสลามต่างๆต้องยอมแพ้และยอมอ่อนข้อต่อประเทศเหล่านั้นด้วยรูป แบบใหม่อันได้แก่การอยู่ภายใต้ม่านกฎหมายระหว่างประเทศ เช่นประชาค มโลก ตลอดจนสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของประเทศสมาชิกถาวรเพียงไม่กี่ประเทศ (สหรัฐอเมริกา,รัสเซีย,ฝรั่งเศส,อังกฤษ และจีน) สภาพการณ์หลังจากการล่าอาณานิคมนั้นไม่ได้แตกต่างกับสถานการณ์ก่อนและหลังจากที่ประเทศอิสลามต่างๆได้เอกราช ยิ่งไปกว่านั้นประเทศอิสลามสมัยการล่าอาณานิคมนั้นยังพอที่จะมีอิสรภาพเป็นของตัวเอง แต่หลังจากสิ้นสุดสมัยการล่าอาณานิคมแล้วประเทศอิสลามกลับอยู่ภายใต้แนวคิด อะกีดะฮฺและลอกเลียนการกระทำและการดำเนินชีวิตหรือแม้แต่จรรยามารยาทและค่านิยมของผู้อื่น สถานการณ์เช่นนี้เป็นที่น่าเศร้าสำหรับคนที่มีความหวงแหนต่อประชาชาติ แต่กลับเป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับคนที่ชอบเลียนแบบผู้อื่น จนกระทั่งคนเหล่านั้นได้ประกาศตัวและแสดงธาตุแท้ของพวกเขานั่นคือ การเป็นมุนาฟิกที่ร้ายกาจหรือแม้กระทั่งการปฏิเสธศรัทธาอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ศาสนาอิสลามยังได้รับการต่อต้านจากผู้นำประเทศมุสลิมเหล่านั้น แต่ไม่ได้ถูกต่อต้านจากประเทศจักรวรรดินิยมอื่นๆ นอกจากนี้พวกมุนาฟิกเหล่านั้นยังได้เก็บเกี่ยวทำลายส่วนที่ยังพอหลงเหลืออยู่ของศาสนา จนมนุษยชาติคิดว่าอิสลามนั้นกำลังจะตาย แม้กระทั่งเมื่อเดินอยู่ในเมืองใหญ่ของประเทศมุสลิมก็ไม่เห็นความแตกต่างของเมืองมุสลิมกับเมืองกาฟิร แต่ภายใต้สถานการณ์อันแสนเจ็บปวดและหมอกควันอันหนาทึบกำลังแพร่กระจายไปทั่วทุกสถานที่และภายใต้ความมืดมิดนี้ ยังมีแสงสลัวๆอยู่ ซึ่งมนุษยชาติคิดว่ามันเป็นแสงของดาวดวงเล็กๆที่อยู่ไกลโพ้นจนไม่สามารถส่องสว่างโลกนี้ได้ แต่แสงนี้กลับใหญ่ขึ้นๆจนเป็นแสงอันสมบูรณ์ และนั่นคือแสงสว่างอันเจิดจ้าของอิสลาม ซึ่งได้หวนกลับมาในภาวะที่มีการปฏิเสธ(กุฟรฺ)และการฝ่าฝืนหลักการอิสลามอย่างแพร่หลาย เพื่อที่จะเตือนมนุษยชาติว่าแสงสว่างของเอกองค์อัลลอฮฺนั้นจะยังคงอยู่ต่อไปกับคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า
وَيَأْبَى اللَّـهُ إِلَّا أَن يُتِمَّ نُورَهُ وَلَوْ كَرِهَ الْكَافِرُونَ
...และอัลลอฮฺจะไม่ทรงยินยอมนอกจากจะแพร่ให้แสงสว่างของพระองค์บริบูรณ์ถึงแม้ว่าพวกปฏิเสธศรัทธาจะชิงชังก็ตาม (9:32)
เสียงตะโกนตักเตือนได้ดังขึ้นทุกๆส่วนของโลกจากกะอฺบะฮฺแห่งนครมักกะฮฺ จากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ตลอดจนทุกประเทศอิสลามที่มีเสียงอะซาน และแม้กระทั่งหอคอยโบสถ์คริสต์ในยุโรปและอเมริกา(หลังจากที่โบสถ์เหล่านั้นได้ถูกทอดทิ้งจนถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดแทน) นั่นคือแสงสว่างแห่งอิสลาม ที่สว่างเจิดจ้าซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ว่าได้เริ่มต้นเมื่อใดแต่เมื่อ มันส่องแสงสว่างแล้วก็ไม่มีอำนาจใดจะสกัดกั้นหรือขัดขวางการแพร่กระจายของมันได้ มันเปรียบเสมือนกับการสร่างของประชาชาติอิสลามจากความเมามายหลายทศวรรษ หรือเปรียบเสมือนการฟื้นจากการหลับใหลมาเป็นเวลาหลายปี และเสมือนการรู้สึกตัวจากการเผลอไผลเป็นเวลานาน แต่กระนั้นมันก็เป็นการตื่นตัวที่มาพร้อมกับความโกรธ เป็นการกลับมาพร้อมกับการปฏิวัติและการคืบคลานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งวันนี้ การกลับมาในครั้งนี้ได้ทำให้โลกแปลกใจและปลุกประชาชาติให้ฟื้นขึ้นจากความตาย บรรดาคนหนุ่มสาว คนชรา เยาวชน สตรีของประชาชาติต่างก็ตื่นตัวและลุกขึ้นสู้เพื่อสนับสนุนการกลับมาดังกล่าว ด้วยความสามารถที่มีอยู่ของแต่ละคน มันเป็นการตื่นตัวของประชาชาติโดยรวมที่แม้แต่บรรดาผู้หยิ่งยโสทั้งหลายต้องน้อมรับ และมันได้กลายเป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้นอกจากผู้ดื้อรั้นเท่านั้น สมดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า |
|
บรรยายเยาวชนรักสันติ โดย ดร.อับดุลเลาะ ยีเลาะ | 23 ก.ย. 2560 | 23 ก.ย. 2560 |
|
บรรยายเยาวชนรักสันติ |
|
เนื้อหาการบรรยาย สันติวิธี หนทางสู่สันติภาพที่แท้จริง สืบเนื่องจากรัฐบาลและกลุ่มที่เห็นต่างจาก รัฐ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ แสดงเจตจำนงพูดคุยเพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย โดยมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นอำนวยความสะดวก เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งตัวแทนทั้งสองฝ่ายได้มีการพบปะพูดคุยครั้งแรก เพื่อกำหนดกรอบการพูดคุย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2556 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และทั้งสองฝ่ายมีกำหนดจะพบปะพูดคุยเพื่อสันติภาพอีกครั้ง ในวันที่ 29 เมษายน 2556 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิด สันติภาพ ในพื้นที่ต่อไป
ในระหว่างที่กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพกำลังดำเนินไปท่ามกลางความรุนแรง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังคุกรุ่น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อกระบวนการพูดคุย หรือ เจรจาเพื่อสันติในครั้งนี้อย่างหลากหลาย ในการนี้ เพื่อให้กระบวนการการพูดคุย หรือ การเจรจา เพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วประเทศปรารถนา สามารถดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุถึงข้อตกลงสันติภาพ ข้าพเจ้า ในฐานะที่เป็นประชาชน นักวิชาการและนักการศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอมีส่วนร่วมเสนอแนะแนวคิดที่เป็นหนทางในการส่งเสริม สนับสนุนกระบวนการพูดคุย หรือ เจรจา เพื่อสันติภาพให้มีความก้าวหน้าและประสบผลสำเร็จ ดังนี้
|
|
ประชุมคณะทำงาน ครั้งที่4 ประชุมสรุปโครงการ | 25 ก.ย. 2560 | 30 ก.ย. 2560 |
|
การสรุปและประเมินโครงการ |
|
3.1 การพิจารณา การจัดทำรายงาน
ให้เลขาและประธานรวบรวมข้อมูลจัดทำรายงานและมาเบิกเงินที่ฝ่ายการเงิน |
|
จัดทำแบบรายงานสรุป | 15 ต.ค. 2560 | 15 ต.ค. 2560 |
|
0 |
|
0 |
|
การบันทึกข้อมูลโครงการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของ ภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนา จชต. | 14 ก.ค. 2561 | 14 ก.ค. 2561 |
|
การบันทึกข้อมูลโครงการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของ ภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนา จชต. |
|
การบันทึกข้อมูลโครงการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของ ภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนา จชต. |
|