directions_run

พัฒนาศักยภาพบุคลากรและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่

stars
1. ชื่อโครงการ
พัฒนาศักยภาพบุคลากรและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่
stars
2. องค์กรที่รับผิดชอบ
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา
stars
3. เป้าประสงค์
groups
เป้าประสงค์ที่สอดคล้องกับประเด็นขับเคลื่อน
ลดจำนวนนักดื่มนักสูบหน้าเก่า ป้องกันนักดื่มนักสูบหน้าใหม่ ควบคุมการจำหน่ายบุหรี่แปลกใหม่ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า

 

groups
เป้าประสงค์เฉพาะ
ลดภาวะเสี่ยงจากโรคกล่องเสียงและถุงลมโป่งพอง ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

 

สร้างความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับสมุนไพรกระท่อมและกัญชา

 

ลดปัจจัยเสี่ยงในสังคมในรูปแบบต่างๆได้แก่ ลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ การพนัน ยาสูบ ยาเสพติด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภัยไซเบอร์

 

stars
4. กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
จำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด
กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
stars
5. ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
สถานการณ์การบริโภคยาสูบ จากการศึกษาภาระโรคจากปัจจัยเสี่ยงของประชากรไทย พ.ศ. 2557 โดยที่ภาระโรคจากมะเร็งและโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นผลของการสูญเสียที่สำคัญจากการสูบบุหรี่ ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกที่ก่อให้เกิดภาระโรคมากที่สุดในเพศชาย ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็นร้อยละ 12.0 ของการสูญเสียปีสุขภาวะทั้งหมดในเพศชาย รองลงมาคือ บุหรี่/ยาสูบ ความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้สูญเสีย ปีสุขภาวะร้อยละ 11.7 และ 7.5 ของการสูญเสียปีสุขภาวะทั้งหมดในเพศชาย การสูบบุหรี่/ยาสูบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องถึง 55,000 ราย หรือร้อยละ 11.2 ของจำนวนการเสียชีวิตทั้งหมด การสูบบุหรี่ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสูงสุด คือ 20,863 คน (ร้อยละ 38 ของการเสียชีวิต จากบุหรี่ทั้งหมด) ตามด้วยโรคหัวใจ 14,011 คน (ร้อยละ 26) และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง 13,964 คน (ร้อยละ 26) (ข้อมูลปีพ.ศ.2557 โดยโครงการ BOD (Burden of Disease))จากการประมาณการ ความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์จากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ในปีพ.ศ.2552 (Disease Attributed to Smoking) พบว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 74,884 ล้านบาท (คำนวณเป็นความสูญเสีย 42 บาทต่อบุหรี่ 1 ซอง) หรือ 0.78% ของ GDP โดยผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 42.3) มีค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อบุหรี่เดือนละ 100-499 บาท ร้อยละ 13.0 มีค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อบุหรี่มากกว่า 1,000 บาทต่อเดือน กลุ่มผู้สูบมีอายุ 25-44 ปี มีสัดส่วนของค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อบุหรี่ มากกว่า 1,000 บาทต่อเดือนสูงกว่ากลุ่มวัยอื่น (ร้อยละ 15.5) และผู้ชายเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อบุหรี่เฉลี่ย ต่อเดือนสูงกว่าผู้หญิง (ผู้ชาย 491 บาท และผู้หญิง 358 บาท) รวมถึงการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ.2564 แนวโน้มอัตราสูบบุหรี่ของผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไป ในภาพรวมทั้งประเทศตั้งแต่ปี 2547 ถึงปี 2564 พบว่าแนวโน้มค่อนข้างลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 23.0 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 17.4 ในปี 2564 ผู้ชายที่สูบบุหรี่ลดลงมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายลดลงจากร้อยละ 43.7 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 34.7 ในปี 2564 สำหรับผู้หญิง ลดลงจาก 2.6 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 1.3 ในปี 2564 จากผลสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากรที่มี อายุ 15 ปีขึ้นไป ในปี 2564 พบว่าผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรก เมื่ออายุ 18–22 ปี และสูบจนเป็นปกตินิสัย เมื่ออายุ 19–23 ปี สำหรับอายุเฉลี่ยที่สูบจนเป็นปกตินิสัย ในภาพรวมของทั้งประเทศ คือ 19.7 ปี เพศชายมีอายุเฉลี่ยที่สูบจนเป็นปกตินิสัยต่ำกว่าเพศหญิง (19.6 ปี และ 22.7 ปีตามลำดับ) สำหรับการสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะ พบว่าสถานที่ส่วนใหญ่ ที่พบเห็นการสูบบุหรี่ คือ ตลาดสดหรือตลาดนัด (ร้อยละ 47.0) รองลงมาคือ ร้านอาหาร/ภัตตาคาร/สถานที่ขายอาหาร เครื่องดื่ม บริการขนส่งสาธารณะ และศาสนสถาน (ร้อยละ 36.6 35.3 และ 21.0 ตามลำดับ) ตามอาคาร สถานที่ราชการและอาคารมหาวิทยาลัยได้ไปและพบเห็นการสูบ คือ ร้อยละ 15.1 และ 14.0 ตามลำดับ ส่วนที่ไป และพบเห็นการสูบบุหรี่ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน/ก๊าซ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ต้องระวังเพราะอาจเกิดอันตราย จากเปลวไฟจากก้นบุหรี่ได้นั้นพบร้อยละ 13.1 ส่วนสถานที่สาธารณะที่ไปและพบเห็นการสูบ ต่ำกว่าร้อยละ 10 คือบริเวณโรงเรียน/สถานศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา และสถานีบริการสาธารณสุข คือ ร้อยละ 7.1 และ 6.6 ตามลำดับ นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปที่สูบบุหรี่ รายจังหวัดสูงสุด 5 ลำดับแรก พบว่า จังหวัดที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุดอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ จ.กระบี่ (ร้อยละ 29.4) จ.สตูล (ร้อยละ 25.2) จ.พังงา (ร้อยละ 24.6) จ.นครศรีธรรมราช (ร้อยละ 24.6) และจ.ระนอง (ร้อยละ 24.5) การพบเห็นการสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะแต่ละประเภทลดลงเล็กน้อยแม้ว่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายและกำหนดเขตปลอดบุหรี่ 100% โดยเฉพาะร้านอาหาร/ภัตตาคาร/ตลาดสด/ตลาดนัด ที่พบว่ายังมีการละเมิดกฎหมาย การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อสุขภาพของประชากร ทำให้เกิดโรคและ การเจ็บป่วยกว่า 230 ชนิด ตาม ICD-10 จากข้อมูลภาระโรคและการบาดเจ็บจากผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับโลก ปี 2559 แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพในลำดับที่ 7 ของการตายและพิการของประชากรทั้งหมด และเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของประชากรกลุ่มอายุ 15-49 ปี โดยมี คนเสียชีวิตด้วยโรคและการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 3 ล้านคนต่อปี (ร้อยละ 5.3 ของการเสียชีวิตทั้งหมดทั่วโลก) จากข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระหว่างปี พ.ศ. 2547 - 2564 พบว่าในภาพรวมอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปทั้งประเทศ ในระหว่างปี 2547 - 2557 อัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 32.7 ถึง 32.3 แต่หลังจากปี 2558 พบว่าอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 34.0 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 28.0 ในปี 2564 ซึ่งมีผลจากการรณรงค์การงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ต่างๆ พบว่าผู้ชายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าผู้หญิง 4 เท่า (ร้อยละ 46.4 และ 10.8 ตามลำดับ) ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนที่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาลสูงกว่าในเขตเทศบาลเล็กน้อย (ร้อยละ 28.4 และ 27.7 ตามลำดับ) ทั้งนี้พบว่าในปี 2564 จากจำนวนประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น 57 ล้านคน เป็นผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในรอบ 12 เดือน ที่แล้วประมาณ 16 ล้านคน (ร้อยละ 28.0) เป็นผู้ที่ดื่มสม่ำเสมอ 10.6 ล้านคน (ร้อยละ 18.5) และเป็นผู้ที่ ดื่มนานๆ ครั้ง 5.4 ล้านคน (ร้อยละ 9.5) สำหรับกลุ่มอายุ 25-44 ปี มีอัตราการดื่มสูงสุด (ร้อยละ 36.5) กลุ่มอายุ 45-59 ปี และ 20-24 ปี มีอัตราการดื่มใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 32.4 และ 31.6 ตามลำดับ) กลุ่มผู้สูงวัย (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีอัตราการดื่มร้อยละ 15.2 สำหรับกลุ่มเยาวชน (อายุ15-19 ปี) มีอัตราการดื่มต่ำสุด (ร้อยละ 15.0) จากสถานการณ์การบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบและเครื่องแอลกอฮอล์ ทำให้การเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจากปัจจัยสี่ยงดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2564 โรคหลอดเลือดสมอง มีอัตราความชุกต่อประชากรแสนคนเท่ากับ 533.40, 566.94, 561.85, 557.91 และ 557.50 ตามลำดับ โรคหัวใจและหลอดเลือด มีอัตราความชุกต่อประชากรแสนคนเท่ากับ 368.72, 390.00, 390.16, 389.60 และ388.32 และโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรั้ง มีอัตราความชุกต่อประชากรแสนคน เท่ากับ 307.92, 330.88, 328.57, 329.61 และ 341.00 ในการแก้ปัญหาข้างต้น สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา ได้ดำเนินงานโครงการสนับสนุนการดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ใน 3 กิจกรรมหลักได้แก่ กิจกรรมหลักที่ 1 การขับเคลื่อนกลไกการดำเนินงานในระดับเขตและจังหวัด โดยร้อยละ 80 ของจังหวัดในเขต 12 มีการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด และคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานเพื่อเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน จังหวัดละ 2 ครั้ง/ปี พบว่าในพื้นที่เขต 12 ดำเนินการได้เพียงร้อยละ 71.42 และทุกสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดก็ได้ดำเนินการจัดแผนงานบูรณาการทั้งระดับจังหวัดและระดับอำเภอ ในการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ยังขับเคลื่อนไม่ถึงระดับชุมชนที่กำหนด ให้การป้องกันควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นมาตรการชุมชน ตำบลละ 1 ชุมชน ดำเนินการ ได้เพียงร้อยละ 46.73 โดยสืบเนื่องจากยังไม่มีการบูรณาการแผนระดับตำบล กิจกรรมหลักที่ 2 การพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด โดยมีการพัฒนาหน่วยปฏิบัติการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ (ATCU) ระดับจังหวัด ครบทุกจังหวัดแต่พบว่าทีม ATCU ระดับจังหวัดทีมเดียวไม่สามารถออกปฏิบัติงาน ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ หน่วยปฏิบัติงานเหมาะสมกับการดำเนินงานควรเป็นทีม ATCU ระดับอำเภอ ถึงแม้ ในบางพื้นที่การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบและผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนา คุณภาพชีวิตระดับอำเภอแล้วก็ตาม แต่ผลการดำเนินงานยังไม่เห็นชัดเป็นรูปธรรม กิจกรรมหลักที่ 3 การบังคับใช้กฎหมายและสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดบุหรี่และสุรา พบว่าร้อยละ 57.14 ของจังหวัดในเขต 12 มีการดำเนินการตรวจเตือนและประชาสัมพันธ์แก่ร้านค้าในพื้นที่ไม่ครบ 1,000 ร้าน และร้อยละ 100 ของจังหวัดในเขต 12 ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดไม่ครบ 20 คดี ตามตัวชี้วัด ที่กรมควบคุมโรคกำหนด และผลการดำเนินงานที่ยังเป็นปัญหาของจังหวัดในพื้นที่เขต 12 คือมาตรการ การช่วยเหลือบำบัดรักษาผู้ที่ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ โดยร้อยละ 50 ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปได้รับการคัดกรองการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าร้อยละ 71.43 ของจังหวัดในเขต 12 ดำเนินการคัดกรองไม่ได้ตามเป้าหมาย และจากการประเมินผลติดตามผลการดำเนินงาน พบว่าในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส ตรัง พัทลุง และสตูล โรงพยาบาลมีปัญหาในการนำเข้าข้อมูลการคัดกรองจากโปรแกรม HosXP, JHCIS และต้องการการพัฒนาให้สามารถดำเนินการได้ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา จะดำเนินงานควบคุมยาสูบตามแนวทาง แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ แผนปฏิบัติการด้านการควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สาม พ.ศ. 2565 - 2570 จำนวน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างเสริมความเข้มแข็งและยกระดับขีดความสามารถ การควบคุมยาสูบของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ป้องกันมิให้เกิดผู้เสพยาสูบรายใหม่และเฝ้าระวังธุรกิจยาสูบ ยุทธศาสตร์ที่ 3 บำบัดรักษาผู้เสพให้เลิกใช้ยาสูบ และยุทธศาสตร์ที่ 5 ทำสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ ในส่วนของการดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และแผนปฏิบัติการด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระยะที่ 2 พ.ศ. 2564 - 2570 ประกอบด้วย 7 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 ควบคุมและจำกัดการเข้าถึง กลยุทธ์ที่ 2 ควบคุมพฤติกรรม การขับขี่หลังการดื่ม กลยุทธ์ที่ 3 บำบัดรักษา กลยุทธ์ที่ 4 ควบคุมการโฆษณาส่งเสริมการขาย และการให้ ทุนอุปถัมภ์ กลยุทธ์ที่ 5 ขึ้นราคาผ่านระบบภาษี กลยุทธ์ที่ 6 สร้างค่านิยมเพื่อลดการดื่ม และกลยุทธ์ที่ 7 ระบบสนับสนุนและบริหารจัดการที่ดี ทั้งนี้ จากสภาพปัญหาในพื้นที่ยังคงมีอยู่ในหลายประเด็น จากการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่ผ่านมา ยังไม่บรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติอย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา จึงได้จัดทำโครงการสนับสนุนควบคุมการบริโภคยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เขตสุขภาพที่ 12 ปี 2564 - 2566 ขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากการบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ โดยขอสนับสนุนงบประมาณของสำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จากกองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ เพื่อใช้ในการดำเนินงาน และสนับสนุนการขับเคลื่อนการควบคุมการบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ ให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพต่อไป
stars
6. รูปแบบการจัดกิจกรรม
Online
Onsite
Hybridge
stars
7. ประเภทของกิจกรรม
การพัฒนากลไก เช่น สนับสนุนกลไกในการทำงาน การรวมกลุ่ม สร้างชุมชนเข้มแข็ง การประสานส่งต่อความช่วยเหลือ

 

การสำรวจข้อมูล ค้นหากลุ่มเสี่ยง กลุ่มเป้าหมาย

 

การตรวจคัดกรองกลุ่มเป้าหมาย

 

การทำแผน กติกา การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ การวางแผนครอบครัว

 

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การส่งเสริมทักษะทางกาย ใจ การนำหลักศาสนามาใช้

 

การป้องกันและลดปัญหา เช่น ด้านยาเสพติด การป้องกันและลดปัญหาด้านโภชนาการ การป้องกันและลดปัญหาด้านเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ไม่พร้อม

 

การบริการรักษาสุขภาพ เช่น การพัฒนาระบบบริการเชิงรุก การฉีดวัคซีน การแพทย์ทางร่วม การลดภาวะซีดในหญิงมีครรภ์ การดูแลสุขภาพจิต การใช้สมุนไพรทางเลือก

 

การปรับสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก กายอุปกรณ์ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ตัดแว่นตา

 

การส่งเสริมสุขภาพ

 

การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ สื่อสารสาธารณะ

 

การพัฒนาศักยภาพ เช่น ให้ความรู้ การดูงาน

 

ด้านการเงิน งบประมาณ (การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ปัจจัยการผลิต กองทุนหมุนเวียน กองทุนกลาง การออมทรัพย์ สวัสดิการ)

 

การส่งเสริมอาชีพ การสร้างอาชีพ และรายได้ ลดรายจ่าย

 

การส่งเสริมการตลาดในชุมชน การส่งเสริมตลาดกรีน/ตลาดอาหารสุขภาพ

 

การบังคับใช้กฏหมาย

 

การเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง

 

การประเมินติดตามผล

 

การจัดการความรู้ งานวิจัย

 

การฟื้นฟูสมรรถภาพ

 

อื่นๆ

 

stars
8. พื้นที่ดำเนินการ
จังหวัดอำเภอตำบลลักษณะพื้นที่
สงขลา place directions
stars
9. งบประมาณ
งบประมาณ
21,200.00 บาท
ได้รับงบประมาณจาก
สสส.

โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2566 11:29 น.