ฟื้นชีวิตคืนเศรษฐกิจชาวสวนยางพัทลุงด้วยกระบวนการพัฒนาสวนยางเป็นพื้นที่พืชร่วมยาง
ชื่อโครงการ | ฟื้นชีวิตคืนเศรษฐกิจชาวสวนยางพัทลุงด้วยกระบวนการพัฒนาสวนยางเป็นพื้นที่พืชร่วมยาง |
ภายใต้โครงการ | Node Flagship จังหวัดพัทลุง |
ภายใต้องค์กร | Node Flagship จังหวัดพัทลุง |
รหัสโครงการ | 61-0186 |
วันที่อนุมัติ | 8 พฤศจิกายน 2561 |
ระยะเวลาดำเนินโครงการ | 15 พฤศจิกายน 2561 - 30 กันยายน 2562 |
งบประมาณ | 198,500.00 บาท |
ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบ | กลุ่มวิถีชุมชนคนเกษตร |
ผู้รับผิดชอบโครงการ | นายสหจร ชุมคช |
เบอร์โทรผู้รับผิดชอบโครงการ | |
อีเมล์ผู้รับผิดชอบโครงการ | |
พี่เลี้ยงโครงการ | นายเสณี จ่าวิสูตร |
พื้นที่ดำเนินการ | จังหวัดพัทลุง |
ละติจูด-ลองจิจูด | 7.509396,99.92186place |
งวด | วันที่งวดโครงการ | วันที่งวดรายงาน | งบประมาณ (บาท) | |||
---|---|---|---|---|---|---|
จากวันที่ | ถึงวันที่ | จากวันที่ | ถึงวันที่ | |||
1 | 15 พ.ย. 2561 | 30 เม.ย. 2562 | 15 พ.ย. 2561 | 15 มิ.ย. 2562 | 99,250.00 | |
2 | 1 พ.ค. 2562 | 31 ส.ค. 2562 | 16 มิ.ย. 2562 | 30 ก.ย. 2562 | 79,400.00 | |
3 | 1 ก.ย. 2562 | 30 ก.ย. 2562 | 19,850.00 | |||
รวมงบประมาณ | 198,500.00 |
สถานการณ์ปัญหา | ขนาด |
---|
ความสำคัญของโครงการ สถานการณ์ หลักการและเหตุผล
ปจจุบันยางพาราเขาครอบครองพื้นที่ทําการเกษตรอยางตอเนื่อง ขอมูลพื้นที่ปลูกยางพาราของสถาบันวิจัยยาง ปพ.ศ. 2558 รายงานวา ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางทั้งสิ้น 18,761,231 ไร ประกอบดวย พื้นที่ปลูกยางของภาคใตจํานวน 11,906,882 ไร รองลงมาคือ พื้นที่ปลูกยางพาราของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 3,477,303 ไร ภาคตะวันออกรวมกับภาคกลาง จํานวน 2,509,644 ไร สวนภาคเหนือพื้นที่ปลูกยางพารานอยที่สุด จํานวน 867,402 ไร พื้นที่ปลูกยางทั้งหมดของประเทศที่กลาวถึง มีจํานวน พื้นที่ซึ่งเปดกรีดไปแลว จํานวนรวมทั้งสิ้น 10,896,957 ไร คิดเปนรอยละ 85 ของพื้นที่ปลูกยางทั้งหมด ในจํานวนนี้ใหผลผลิตเฉลี่ย 282 กิโลกรัม/ไร/ป อยางไรก็ตามพื้นที่ปลูกยางของประเทศไทยยังมีอัตราที่ เพิ่มขึ้นอยางตอเนื่อง ทั้งนี้เนื่องมาจากสภาวะวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง มีสวนชวยสรางโอกาสใหกับยางธรรมชาติขึ้นมาอยูเหนือยางเทียม อยางไมคาดคิด ความตองการยางธรรมชาติในเชิงอุตสาหกรรมจึงสูงขึ้น ชวยฉุดใหราคายางพาราสูงตาม สงผลใหพื้นที่ปลูกยางพารา ขยายตัวเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว นอกจากปาบนพื้นที่สูงจะถูกแทนที่ดวย สวนยางพาราแลว บริเวณที่ราบลุมที่เคยเปนบานของพืชไร วันนี้ยังถูกแทนที่ดวยยางพาราจํานวนไมนอย ทั้งๆ ที่ผลผลิตเฉลี่ยตอไรจะต่ำมากก็ตาม เมื่อรวมพื้นที่ปลูกยางพาราของทั้งจังหวัดสงขลา จังหวัด พัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช เขาดวยกันพบวามีพื้นที่ปลูกยาง ทั้งสิ้นประมาณ 3,430,422 ไร ในจํานวนพื้นที่นี้พบวามีพื้นที่ปาอนุรักษรวมอยูดวยจํานวนหนึ่ง จากขอมูลภาพถายทางอากาศเมื่อป พ.ศ. 2545 ซึ่งกรมทรัพยากรปาไมลุมน้ำทะเลสาบสงขลา ไดรายงาน โดยอางจากรายงานโครงการจัดทําแผนแมบทการพัฒนาลุมน้ำทะเลสาบสงขลา สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรและสิ่ง - แวดลอม ปพ.ศ. 2548 พบวาพื้นที่ปาอนุรักษไดถูกบุกรุกประมาณ 23,618 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่เหลานี้สวนใหญเปนพื้นที่ในเขตลุมน้ำทะเลสาบสงขลา ที่ครอบคลุมบางสวนของจังหวัดสงขลา จังหวัด พัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช การรุกปาเพื่อเปลี่ยนเปนพื้นที่การเกษตร สืบเนื่องจากพื้นที่เดิม ดินเกิดสภาวะเสื่อมโทรมสงผลใหผลผลิตลดจํานวนลง การแกปญหาของเกษตรกรวิธีที่งายที่สุดก็คือการขยายพื้นที่ปลูก เพื่อให ผลิตตอไรคงที่หรือเพิ่มมากขึ้น แตดวยไมมีพื้นที่วางเปลาเหลืออยู เกษตรกรจึงเลือกที่จะรุกเขาไปทําแปลงเกษตรในพื้นที่อนุรักษซึ่งสวนใหญอยูในบริเวณพื้นที่ตนน้ำ แตดวยถูกปลูกฝงมาใหยึดติดกับระบบเกษตรกระแสหลักที่ยึดเอาเทคโนโลยีเปนตัวตั้ง เกษตรกรจึงทําเกษตร ในระบบการปลูกพืชเชิงเดี่ยว สงผลใหสวนยางพาราทั้งหมดในทุกพื้นที่ เปนสวนยางพาราเชิงเดี่ยวทั้งสิ้น ในมิติที่เปนประโยชนของการจัดการ เกษตรกรรมระบบนี้เกษตรกรจะไดคาตอบแทนสูง แตจะชักนําใหตนทุนสูงตามไปดวย ทั้งนี้เพราะตองวิ่งตามเทคโนโลยีไปตลอดไม สิ้นสุด ในทางกลับกันหากพิจารณาในมิติความยั่งยืนของการจัดการเชิงเดี่ยวที่ปลูกในที่พื้นที่เดิมตอเนื่องกันประมาณ 3 รอบ ใชเวลา ประมาณ 60 ปหรือมากกวา จะพบวาอัตราการเจริญเติบโตของตน ยางพาราจะคอยๆ ลดขนาดลงตามลําดับ สงผลใหตนยางพารามี เปลือกบางลง และใหน้ํายางนอย เนื่องจากดินในแปลงปลูกพืช เชิงเดี่ยวเสื่อมคุณภาพลง ดวยเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสรางของดิน ทั้งทางดานกายภาพ เคมีและชีววิทยา ที่สืบเนื่องมาจากการ ใชปุยเคมีและสารเคมีในแปลงปลูกยางพาราเปนเวลายาวนาน หากเขาไปตรวจสอบความหลากหลายของการทําหนาที่ของ สรรพชีวิตที่ผิวดินและในดินของสวนยางพาราเชิงเดี่ยว จะพบวาความ หลากหลายของสัตวในดิน ที่ถูกออกแบบมาใหทําหนาที่ลดขนาดของ ซากพืช เพื่อสงตอใหจุลินทรียชวยยอยสลายนั้นลดลงทั้งชนิดและ จํานวน สวนจุลินทรียที่ถูกออกแบบมาใหทําหนาที่ยอยสลายเศษซาก เพื่อคืนธาตุอาหารใหกับดินเพื่อใหดินสงตอใหกับรากพืชนั้น ก็ลด จํานวนความหลากหลายไมตางไปจากสัตวในดิน ความหลากหลายของสรรพชีวิตในดิน มีผลใหการทําหนาที่ใน การขับเคลื่อนพลังงาน และวงจรธาตุอาหารเริ่มติดขัด ดวยเพราะดินมี ความแนนทึบมากขึ้น สงผลใหการแลกเปลี่ยนกาซ และการระบายน้ำ ทําไดไมดีตามปกติ ทําใหกลุมจุลินทรียที่ใชออกซิเจนเปนตัวรับ อิเล็กตรอนลดจํานวนประชากรลง ขณะเดียวกันเกิดการพัฒนาให จุลินทรียที่ใชสารอื่นเปนตัวรับอิเล็กตรอน ซึ่งใหคาพลังงานต่ํากวาเขา มาแทนที่อยางคอยเปนคอยไป การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของกลุมจุลินทรียดังกลาว ทําให ประสิทธิภาพของการยอยสลายเศษซากของสรรพชีวิต เพื่อคืนธาตุ อาหารใหกับดินลดลงตามลําดับ เนื่องจากตัวรับอิเล็กตรอนที่ไมใช ออกซิเจนจะใหคาพลังงานต่ำกวา โดยเฉพาะหากเปนจุลินทรียใช สารอินทรียเปนตัวรับอิเล็กตรอนจะใหคาพลังงานต่ำที่สุด ผลลัพธที่ได คือกระบวนการยอยสลายเปนไปอยางเชื่องชา ทําใหเศษซากดังกลาว ตกคางอยูในดินเนิ่นนานกวาที่ควรจะเปน ขณะเดียวกันกลไกดังกลาว มีสวนสนับสนุนใหผิวอนุภาคดินมีไฮโดรเจนไอออนจับเกาะในปริมาณ มากขึ้น จึงไมใชเรื่องแปลกที่ดินจะคอยๆพัฒนาไปสูความเปนกรดขึ้น อยางตอเนื่อง การเสื่อมของคุณภาพดินยังสรางผลกระทบกับวงจรธาตุ อาหารของระบบนิเวศทั้งระบบ เชน วงจรของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและธาตุอาหารอื่น วงจรธาตุอาหารดังกลาวจะถูกตัดตอน ใหขาดเปนชวงๆ ระบบนิเวศของดินในพื้นที่ปลูกยางพาราจึงขับเคลื่อน วงจรธาตุอาหารลดประสิทธิภาพลงอยางตอเนื่อง สงผลใหขาดธาตุ อาหารจําพวกไนโตรเจนในดินลดจํานวนลง สวนฟอสฟอรัสแมจะยังมี อยูก็มิอาจใชประโยชนไดเนื่องจากไมไดอยูในรูปของฟอสเฟตที่ละลายน้ำไดดวยเพราะดินเปนกรด ดินที่ขาดธาตุอาหารหรือมีธาตุอาหารแตอยูในรูปที่ใช ประโยชนไมได จัดเปนดินที่เสื่อมความอุดมสมบูรณพืชที่อาศัยอยูใน ดินลักษณะดังกลาวจึงเติบโตไดนอยและใหผลผลิตต่ำ ทางออกของ เกษตรกรอยางงาย ก็คือการนําเขาธาตุอาหารดังกลาวสูดินมากขึ้นตามลําดับ แตอยางไรก็ตามแมวาจะเพิ่มปุยเคมีลงไปเทาใดก็หาเปน ประโยชนไม เพราะดินที่เปนกรดทําใหธาตุอาหารฟอสฟอรัสไมแตกตัว เปนไอออน โดยจะอยูในรูปสารประกอบของโลหะเปนสวนใหญ รากพืชจึงไมสามารถนําเขาเพื่อใชประโยชนได ดังนั้นแมวาเกษตรกรจะเพิ่มปุยเคมีลงไปในดินมาก สักเพียงใด ก็จะไมเกิดประโยชนกับตนยางพารา ดวยเพราะไม สามารถนําธาตุอาหารชนิดนี้เขาสูรากเพื่อสงตอไปยังสวนตางๆของ เนื้อเยื่อที่ไดรับคําสั่งมา สุดทายก็จะเกิดสภาวะขาดแคลนธาตุอาหาร ดังกลาวในที่สุด ผลกระทบที่ตามมาก็คือตนยางพาราจะแสดงออกถึง การจํากัดการเจริญเติบโตขึ้นที่ใบพืช โดยใบแกจะแสดงอาการสีซีดลง และมีเซลลตายเกิดขึ้นที่บริเวณตัวใบ สภาพดังกลาวทําใหใบใหมลด ขนาดลง ซึ่งสามารถสังเกตไดชัดเจนวาเล็กลงกวาปกติมาก นอกจากนั้นยังเกิดผลกระทบกับทั้งสวนของเปลือกและขนาดของลําตน โดยเปลือกตนยางพาราจะลดความหนาลง สงผลใหจํานวนของทอน้ำยางที่พัฒนาตามโปรแกรมของเซลลแมผูใหกําเนิดมีจํานวนนอย ตามไปดวย ทําใหสงผลกระทบกับการผลิตของเนื้อยางที่ผลิตไดในรอบ วัน นั้นคือปริมาณเนื้อยางที่ผลิตไดลดจํานวนลงไปดวย เมื่อหันกลับมาพิจารณามิติของการปลูกยางพาราเชิง บูรณาการ ที่อาจเปนการใชพืชหลายชนิดปลูกแซม หรืออาจพัฒนาให ซับซอนสูการสรางสังคมพืช จะพบวาวิธีนี้เปนวิธีที่สอดคลองกับ ธรรมชาติเนื่องจากมีสวนชวยใหโครงสรางของดิน ทั้งทางกายภาพ เคมีและชีววิทยา ไดมีการพัฒนาตนเองไปสูการสรางสัดสวนขององคประกอบของโครงสรางของดินใหเหมาะสม เชน หากดินมีสภาพ ทางกายภาพที่มีชองวางระหวางเม็ดดินติดตอเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด ก็จะชวยใหอากาศแพรผานลงไปในดินไดลึกมากขึ้น ขณะเดียวกันชวย ใหคารบอนไดออกไซดที่ถูกกักเก็บสามารถแพรออกจากดินสู บรรยากาศไดไมยุงยาก รากพืชก็จะทําหนาที่ไดสมบูรณขึ้น ทุกครั้งที่ฝนตก หากดินมีชองวางระหวาง อนุภาคดินติดตอ เชื่อมโยงเปนเครือขายถึงกันอยางเปนระบบ การระบายน้ำลงสูดินชั้น ลางจะกระทําไดเปยมประสิทธิภาพ จะไมมีน้ำถูกกักขังอยูระหวางชองวางอนุภาคดิน สงผลใหรากพืชไมเครียดเพราะขาดออกซิเจน สําหรับหายใจ เมื่อดินสามารถกักอากาศเอาไวในชองวางระหวาง อนุภาคดินไดมาก ก็จะมีไนโตรเจนสําหรับให้ จุลินทรียตรึงเพื่อ เปลี่ยนเปนไนเตรต ขณะเดียวกันก็มีปริมาณออกซิเจนเพียงพอสําหรับ ใหรากพืช สัตวในดิน และจุลินทรียใชในการหายใจเพื่อสรางพลังงาน หากการสรางพลังงานไมติดขัด การขับเคลื่อนวิถีภายในระบบชีวิตของ แตละสรรพชีวิตก็จะสะดวกและคลองตัว สงผลใหสภาวะแวดลอมของ ดินดีขึ้น สภาวะเชนวานี้จะสนับสนุนใหเกิดการชักนําใหสรรพชีวิตอื่นๆ ในที่อยูอาศัยอื่น ไดอพยพเขามามากขึ้นตามลําดับ หากเปนเชนนี้ไดก็ จะชวยใหดินพัฒนาไปสูสุขภาวะอยางตอเนื่อง ในธรรมชาติพัฒนาการ ของสังคมพืชไดใ ห ความสําคัญ กับความ หลากหลายของพันธุกรรม ทั้งพืช สัตวและจุลินทรีย ไดมีสวนรวมในการทําหนาที่ อ ยางเปนระบบ กรอบ ความคิด ดังกลาวมีสวน สนับสนุนใหเครื่องจักรมีชีวิต ในดินแตละภาคสวนไดทําหน้าที่สนับสนุนการ ขับเคลื่อนวงจรธาตุอาหาร ใหเคลื่อนตัวไดเร็วขึ้น และขยายเครือขายสูวงกวางมากขึ้น ทําใหมีปุยธรรมชาติคืนกลับสูดิน เพียงพอสําหรับการเฉลี่ยและแบงปนกัน ผลลัพธก็คือความแข็งแรง ของระบบนิเวศที่จะทยอยคืนกลับมาอยางชาๆ แตมั่นคง สุดทาย ระบบเกษตรเชนวานี้จะกาวยางสูมิติของความยั่งยืน หากเราสรางกรอบคิดการปลูกยางพารา โดยอาศัยหลักการ และเหตุผลดังกลาวขางตน ก็จะมี สวนชวยใหสังคมพืชปายางพารา ไดปรับตัวจากความเปราะบางสูความแข็งแรงของระบบ แมวาจะมี การคุกคามที่ทําใหเกิดภาวะเครียด จากตัวแปรใดๆ ก็ตาม สรรพชีวิต ก็สามารถปรับตัวโดยอาศัยกลไกการปองกันตัวเอง ชวยแกปญหา ทั้ง การแกปญหาเฉพาะสวนตัวหรือการแกปญหาแบบมีสวนรวม เชน จุลินทรียกลุมหนึ่งอาจชวยกันแยงชิงอาหาร หรือตัวรับอิเล็กตรอน ของจุลินทรียกอโรค ทําใหจุลินทรียกอโรคขาดอาหาร หรือพลังงาน สุดทายจุลินทรียกอโรคจะคอยๆ ลดจํานวนประชากรลงตามลําดับ อยางตอเนื่อง และหายไปในที่สุดโดยเกษตรกรไมตองพึ่งพาสารเคมี ที่เปนพิษแตอยางใด สังคมพืชสวนยางพารา มองดูก็คลายกับสังคมพืชใน ปาดิบชื้น เพียงแตมีจํานวน เรือนยอดของพืชเสมือนรม ขนาดและรูปแบบที่ซอน เหลื่อมในแนวดิ่งจํานวนนอย กวา แตจํานวนที่นอยกวานี้ก็ สามารถทําหนาที่ชวยดูดซับ และสะทอนรังสีอัลตราไวโอเลตไมใหกระทบกับประชากร ของจุลินทรียโดยตรง ทั้งนี้เพื่อใหเครื่องจักรที่มีชีวิตเหลานี้ไดทําหนาที่ ผลิตอินทรียวัตถุ และชวยคืนกลับธาตุอาหารใหกับดินผานกลไกของ การยอยสลายเพื่อสงตอใหกับพืช ทํานองเดียวกันธรรมชาติยังได ออกแบบใหโปรโตซัว คอยทําหนาที่ควบคุมประชากรของแบคทีเรีย ไมใหเพิ่มจํานวนเร็วมากเกินไป ทั้งนี้เพื่อความสอดคลองกับปริมาณใบ พืชที่รวงหลน รวมทั้งเศษซากพืชที่มีจํานวนสอดคลองกับประชากร ของสัตวกินซาก หากเราสามารถเขาถึงทุก มิติของการทําหนาที่ของสรรพชวีติ ในสังคมพืชปายางพารา เราก็จะ เขาใจไดวา แทจริงสังคมพืช ยางพารา เปนระบบชีวิตในระดับ ของสังคมชีวิต ระบบชีวิตในระดับ ดังกลาวนี้สรรพสิ่งที่อยูรวมกันถูก ออกแบบมาใหรวมรับผิดชอบ ภารกิจหลักและภารกิจรอง ในลักษณะที่สัมพันธและเชื่อมโยง ผลลัพธของความสําเร็จในการ ทําหนาที่ในระบบชีวิต จะชวยทุกชีวิตภายในระบบสามารถอยูรอด การอยูรวมจึงมีสวนชวยใหแตละชีวิตไดสรางโอกาสของการอยูรอด นั่นคือ สรรพสิ่งยอมเปนไปตามธรรมชาติกิจกรรมของสรรพชีวิต ที่ทํางานอยางสัมพันธและเชื่อมโยง ชวยใหเกิดระบบภูมิคุมกันตาม ธรรมชาติซึ่งจะครอบคลุมไปถึงตัวเกษตรกรเองดวย เนื่องจากการทําสวนยางแบบสังคมพืชปายางพารา ไมมีความจําเปนตองพึ่งพาปุยเคมี หรือสารเคมีอื่นใดใหเปน สวนเกินกลายเปนตนทุนการผลิตที่ เกษตรกรตองมาแบกรับโดยไมจําเปน เนื่องจากดินมีปริมาณธาตุ อาหารในระดับหนึ่งที่เกิดจากการหมุนเวียนของธาตุอาหารภายใน วงจรธาตุอาหารแตละวงจรอยูแลว และธาตุอาหาร เหลานั้นตนพืช สามารถใชเจริญเติบโตไดตลอดชีพจักร การสรางสังคมพืชในสวนยางพาราใหม หรือการพัฒนา สังคมพืชในสวนยางพาราเชิงเดี่ยวลวนสนับสนุนใหเกิดกลไก ที่สอดคลองกับธรรมชาติภายในระบบเกษตร โดยมุงเนนการให ความสําคัญกับคุณภาพของสิ่งแวดลอม และวิถีชีวิตของเกษตรกรไดมีหลักประกันเกี่ยวกับความเสี่ยงของตนทุนและราคาซื้อขายที่ แปรผัน และที่สําคัญคือ ชวยประกันความเสี่ยงเกี่ยวกับการปนเปอน สารพิษและความเสื่อมโทรมของดิน ที่อาจพัฒนาไปสูตนทุนที่สูงมาก ขึ้นในอนาคต เนื่องจากอาจกอผลกระทบใหสรรพชีวิตทั้งตนน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งนําไปสูหายนะที่ไมอาจประมาณคาได
ขอมูลที่กลาวมาขางตนทั้งหมด ลวนบงชี้ใหเห็นวาระบบ เกษตรเชิงเดี่ยวในบริเวณพื้นที่ปาตนน้ำ นาจะเปนจุดเริ่มตนของ ประเด็นปญหาหลายๆ ประเด็นที่สัมพันธและเชื่อมโยงกันอยางเปน ระบบ จากตนน้ำสูปลายน้ำ และรายทาง กอใหเกิดผลกระทบกับ สรรพชีวิตที่เปนสวนประกอบของโครงสรางระบบนิเวศ ภายใตระบบ ธรรมชาติที่ซับซอน หากประสงคจะแกปญหาดังกลาวจะตองมองให ครบทุกมิติหลังจากนั้นจึงเริ่มตนแกปญหาแบบมีสวนรวมโดยเริ่มที่ตนน้ำ แลวเชื่อมโยงสูกลางน้ำและปลายน้ำอยางเปนระบบ ถึงจะทํา ใหทุกขของสรรพสิ่งของลุมน้ําคอยๆ คลี่คลายลงอยางมีพัฒนาการ
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มวิถีชุมชนคนเกษตรร่วมกับกลุ่มเครือข่ายคนอินทรีย์วิถีเมืองลุง จึงได้จัดทำฟื้นชีวิตคืนเศรษฐกิจชาวสวนยางพัทลุงด้วยกระบวนการพัฒนาสวนยางเป็นพื้นที่พืชร่วมยาง เพื่อปรับกระบวนทัศน์ในการทำสวนยางพาราของคนเมืองลุงให้เปลี่ยนจากระบบพืชเชิงเดี่ยวไปสู่ระบบพืชร่วมยางขึ้น รวมถึงสร้างและพัฒนากลไกเครือข่ายภาคประชาชน เกษตรกรคนเล็กคนน้อยในชุมชนพัทลุง ให้รู้และตระหนักถึงการพิษภัยของการใช้สารเคมีทางการเกษตร โดยมีเป้าหมายสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดของภาคประชาชนในการสร้างพัทลุงให้เป็นเมืองสีเขียวเกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้ที่มั่นคง
วัตถุประสงค์/ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาดปัญหา | เป้าหมาย 1 ปี | |
---|---|---|---|
1 | เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางในจังหวัดพัทลุงมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการการผลิตพืชร่วมยาง
|
90.00 | |
2 | เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นพื้นร่วมยาง
|
35.00 | |
3 | เพื่อให้เกิดกลไกการขับเคลื่อนป่าร่วมยางและให้มีการสร้างกลไกการตลาดที่เอื้อต่อการเกษตรแบบพืชร่วมยาง
|
2.00 | |
4 | เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าร่วมยางในจังหวัดพัทลุง
|
200.00 |
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวนที่วางไว้(คน) | จำนวนที่เข้าร่วม(คน) | |
---|---|---|---|
จำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด | 50 | ||
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวนที่วางไว้(คน) | จำนวนที่เข้าร่วม(คน) | |
เกษตรกรชาวสวนยางในจังหวัดพัทลุง | 50 | - |
hourglass_emptyไม่มีกลุ่มกิจกรรม | กลุ่มเป้าหมาย (คน) |
งบกิจกรรม (บาท) |
ทำแล้ว |
ใช้จ่ายแล้ว (บาท) |
||
วันที่ | กิจกรรม | 0 | 100,963.00 | 11 | 101,150.00 | |
7 ธ.ค. 61 | 11. ประชุมคณะทำงานเพื่อติดตามประเมินผลทุกเดือนครั้งที่ 1 | 0 | 2,600.00 | ✔ | 2,600.00 | |
6 ม.ค. 62 | 4 เรียนรู้การบริหารจัดการสวนยางเพื่อการเพิ่มรายได้และการฟื้นฟูแผ่นดินอย่างยั่งยืน | 0 | 13,300.00 | ✔ | 11,300.00 | |
24 ม.ค. 62 | เวทีเรียนรู้ออกแบบการปรับเปลี่ยนส่วนยางสู่พื้นที่พืชร่วมยาง (ครั้งที่ 1) | 0 | 13.00 | ✔ | 13,550.00 | |
25 ม.ค. 62 | 11.ประชุมคณะทำงานครั้งที่ 2 | 0 | 2,600.00 | ✔ | 2,600.00 | |
21 ก.พ. 62 | เวทีสาธารณะเพื่อปรับกระบวนการสวนยางสู่ป่ายาง | 0 | 18,800.00 | ✔ | 18,800.00 | |
25 ก.พ. 62 | 11. ประชุมคณะทำงานครั้งที่ 3 | 0 | 2,600.00 | - | ||
20 มิ.ย. 62 | 12. เวทีประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาการดำเนินงาน ครั้งที่ 1 | 0 | 4,000.00 | ✔ | 4,500.00 | |
21 มิ.ย. 62 | 8. จัดตั้งธนาคารพันธุ์พืชพืชพื้นถิ่น | 0 | 7,000.00 | ✔ | 7,000.00 | |
28 มิ.ย. 62 | 5. สน้บสนุนเกษตรกรปลูกพืชร่วมยาง | 0 | 23,600.00 | ✔ | 23,600.00 | |
18 ก.ค. 62 | 7. จัดตั้งธนาคารปุ๋ยหมัก | 0 | 4,200.00 | ✔ | 4,200.00 | |
26 ส.ค. 62 | 12. เวทีประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาการดำเนินงาน ครั้งที่2 | 0 | 3,750.00 | ✔ | 3,000.00 | |
5 ก.ย. 62 | 10. ส่งเสริมการกระจายผลผลิตจากเครือข่ายคนป่ายางสู่ชุมชน | 0 | 10,000.00 | ✔ | 10,000.00 | |
26 ก.ย. 62 | 13. เวทีสรุปผลการดำเนินโครงการ | 0 | 8,500.00 | - |
โครงการเข้าสู่ระบบเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2562 20:45 น.